วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทศกาล งานเดือน๑๐

                                                                 เทศกาลเดือนสิบ








ประวัติ / ความเป็นมา
งานเทศกาลสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีจัดสืบเนื่องกันมาแต่โบราณถือเป็นประเพณีทำบุญเกี่ยวเนื่อง กับความเชื่อในศาสนาพุทธ และเป็นงานเทศกาลประจำปีที่สำคัญ ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจัดงานครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2466 ที่วัดพระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภายหลังจึงถือปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี จนปัจจุบัน กล่าวได้ว่า กลายเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่ง ทั้งความสำคัญและความยิ่งใหญ่ ของการจัดงานทำให้งานนี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป ในภาคใต้ รวมทั้งภาคอื่นๆ ของประเทศด้วย

วิวัฒนาการงานประเพณีสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช แบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ

1. ประเพณีงานเทศกาลเดือนสิบ ก่อนการจัดงานอย่างเป็นทางการ (ก่อน พ.ศ. 2466)
งานบุญสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของชาวนครศรีธรรมราชแต่ครั้งโบราณ เช่นเดียวกับที่พบตามภาคต่างๆ ของประเทศ งานบุญสารทเดือนสิบ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิพราหมณ์ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มเมื่อใด
คำว่า “สารท” เป็นภาษาบาลีแปลว่า ฤดูอับลม หรือฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “ศารท” ฤดูสารท หรือฤดูศารท ตรงกับเดือน 11 และเดือน 12 แต่การทำบุญวันสารทของไทยอยู่ในราวปลายเดือน 1 อาจเป็นเพราะการนับเดือนสมัยโบราณ เริ่มนับจากข้างแรม ถ้านับเริ่มจากเดือน 5 ปลายเดือน 10 จะเป็นวันครอบครึ่งปี ดังนั้น คำว่า “สารท” ตามคติไทยอาจถือเป็นวันทำบุญครบครึ่งปีก็ได้

ในระยะเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่พืชพันธุ์ธัญญาหารในท้องถิ่นออกผล คนสมัยโบราณจะมีพิธีกรรมเซ่นสังเวยผลแรก ได้แก่ ผีสาง เทวดาเพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อได้รับศาสนาพราหมณ์และพุทธพิธีกรรมดังกล่าว จึงเปลี่ยนมาเป็นการทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา

ประเพณีดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความยินดี ที่ได้รับผลผลิตจากการเพาะปลูกในรอบปี เป็นการบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการอุทิศถวายอาหาร พืชผลแรกได้ตามฤดูกาล แด่พระสงฆ์และอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติมิตรผู้ล่วงลับ ทั้งยังเป็นการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่เรือกสวนไร่นา แก่ตนเอง และครอบครัว

เชื่อกันว่า ในวันแรม 1 เดือนสิบ พญายมจะปล่อยวิญญาณญาติๆ มาพบลูกหลานและต้องกลับไปเมืองนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ชาวไทยสมัยก่อน รวมทั้งชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้ทำบุญในเดือนสิบนี้เป็นประจำทุกปี

2. ประเพณีงานเทศกาลเดือนสิบ ตั้งแต่เริ่มจัดงานเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2466
พ.ศ. 2466 ทางราชการประสงค์จะสร้างอาคารหลังใหม่แทนอาคารศรีธรรมราชสโมสรซึ่งชำรุดทรุดโทรม จึงจัดงานเทศกาลเดือนสิบเพื่อหารายได้ เนื่องจากได้ความคิดจากการจัดงานวันวิสาขบูชา เพื่อหารายได้ซ่อมแซมพระวิหารในวัดมหาธาตุ ใน พ.ศ. 2465)
จึงได้เริ่มจัดงานเดือนสิบเป็นครั้งแรก ที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. 2466 นี้ และนับแต่นั้นก็ได้มีการจัดต่อเนื่องกันมาโดยตลอด เพื่อหารายได้จากการจัดงาน ไปใช้ในกิจการสาธารณประโยชน์ต่างๆ

พ.ศ. 2533 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมสนับสนุนการจัดงานนี้ โดยการจัดงานเน้น ถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น

กำหนดงาน
วันแรม 13-15 ค่ำ เดือนสิบของทุกปี ประมาณเดือนกันยายน สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่ www.tat.or.th/festival

กิจกรรม / พิธี
วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 ชาวเมืองนครศรีธรรมราช จะเตรียมซื้อข้าวของ ทั้งอาหาร ผลไม้ ขนม เพื่อเตรียมสำรับ (ชาวเมืองนครฯ เรียก “หมรับ”) ประเคนถวายแด่พระภิกษุ นอกจากนี้จะซื้อของเล่นต่างๆ อาทิ ตุ๊กตา เตรียมแจกแก่เด็กเล็ก ลูกหลาน

วันแรก 14 ค่ำ เรียกวันยก หมรับ ผู้คนจะนำหมรับ และอาหาร ไปวัดถวายพระสงฆ์มีการจัดขบวนแห่ มีดนตรีนำหน้าขบวน นอกจากนี้มีการนำอาหารและขนมเดือนสิบ ตามประเพณีโบราณ รวมทั้งเงินหรือเหรียญสตางค์ไปวางตามที่ต่างๆ เช่น ริมกำแพงวัด. โคนต้นไม้ เพื่อแผ่ส่วนกุศล อุทิศแก่ผู้ล่วงลับที่ปราศจากญาติ หรือญาติที่ไม่ได้มาร่วมทำบุญในวันนี้ เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรือ “หลาเปร” (ศาลาเปรต)
หลังจากตั้งเปรตแล้ว เริ่มพิธีกรรมสงฆ์ พระสงฆ์จะสวดบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับ จากนั้นชาวบ้านที่ยากจนหรือเด็กๆ จะวิ่งเข้าไปแย่งขนม อาหาร ที่ตั้งเปรต บ้างก็ถือว่าได้บุญบ้างถือเป็นเรื่องสนุก เรียกว่า “การชิงเปรต”

วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันสารท ประชาชนจะนำอาหารไปถวายพระสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำบุญฉลอง ห.ม.รับ ที่จัดไป วันนี้เรียกว่า “วันหลองห.ม.รับ” (วันฉลองห.ม.รับ) ถือว่าเป็นวันห.ม.รับ ใหญ่

กิจกรรมที่กระทำในวันนี้ มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้องและผู้อื่นที่ล่วงลับแล้ว การทำบุญวันนี้ ถือเป็นการทำบุญสำคัญ เพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติพี่น้องและผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญวันนี้ ถือเป็นการทำบุญสำคัญ เพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติพี่น้องและผู้ล่วงลับไปแล้วกลับสู่เมืองนรก ชาวบ้านเรียกวันนี้ว่า “วันส่งตายาย” การทำบุญวันนี้เพ่อบรรพบุรุษ จะไม่อดอยากหิวโหยเมื่อกลับสู่นรก ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญในวันส่งตายายนี้จะถูกถือว่าเป็นคนอกตัญญู

สำหรับหมรับ ที่ชาวบ้านทั่วไปจัดไปถวายพระ ตามประเพณีดั้งเดิมสมัยก่อนการจัดหมรับ นิยมใช้กระบุงทรงเตี้ย สานด้วยตอกไม้ไผ่ ขนาดเล็กหรือใหญ่ตามความต้องการของผู้จัด แต่ปัจจุบันใช้ภาชนะจัดตามความสะดวก เช่น ถาด กระจาด กะละมัง ถัง ในหมรับ จะจัดเรียงอาหารคาวหวาน ผัก ผลไม้ ต่างๆ โดยใส่ข้าวสารรองกระบุง จากนั้นใส่หอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล บรรดาเครื่องปรุงรสที่จำเป็นจนครบ ต่อไปใส่พวกอาหารแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักผลไม้ สำหรับประกอบอาหารคาวหวานที่เก็บไว้ได้นาน เช่น มะพร้าว ฟัก มัน กล้วยดิบ อ้อย ข่า ตะไคร้ ขมิ้น และพืชผลตามฤดูกาลขณะนั้นนอกจากนี้ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันก๊าด ไต้ ไม้ขีด หม้อ กระทะ ด้าย เข็ม ถ้วยชาม ฯลฯ

ถัดขึ้นมาเป็นขนมหวาน 5 ชนิด ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานบุญเดือนสิบ คือ

1. ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับญาติผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ ตามคติทางพุทธศาสนา
2. ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
3. ขนมกง (ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
4. ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย
5. ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับญาติผู้ตายใช้เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์

แต่บางคนมีขนมลาลอยมันเพิ่มอีก 1 ชนิด รวมเป็น 6 ชนิด โดยขนมลาลอยมัน เป็นสัญลักษณ์แทนฟูก หมอน ขนมเหล่านี้เป็นขนมที่เก็บไว้ได้นาน เหมาะใช้เป็นเสบียงเลี้ยงพระสงฆ์ไปได้ตลอดฤดูฝน
นอกจากอาหารคาวหวาน และเครื่องใช้สอยที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มีของเล่นพื้นเมืองต่างๆ ซึ่งต้องพิจารณาให้ถูกกับนิสัยความชอบของบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับของตนด้วย เช่นตุ๊กตารูปม้า ไก่ นก ปลา ทำด้วยกระดาษ ใบลาน ไม้ระกำ หรือรูปละครรำ หนังตะลุง

กิจกรรมในประเพณีสารทเดือนสิบ ณ บริเวณสนามหน้าเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
กำหนดจัดงาน 10 วัน 10 คืน โดยนับเริ่มต้นก่อนวันแรม 13 ค่ำ 4 วัน และหลังวันแรม 15 ค่ำ อีก 3 วัน กำหนดให้ช่วงวันแรม 13-15 ค่ำ เป็นช่วงกลางงาน

ภายในงานมีขบวนแห่หมรับ หรือการจัดสำรับอาหารคาวหวาน อาหารแห้ง ไปถวายพระเพื่ออุทิศส่วนอุศลแด่บุรพชน บรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับ มีการประกวดห.ม.รับ ที่บริเวณศาลาประดู่หกด้วย

มีพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ พิธีชิงเปรต ให้ทาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และสวนสมเด็จพระศรีนครรินทร์ 84
มีกิจกรรมการออกร้านแสดงและจำหน่ายสินค้า ทั้งของเอกชนและหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น การแสดงเกี่ยวกับชนิดของสัตว์น้ำ การเลี้ยงปลา ของกรมประมง การแสดงเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว วิธีบำรุงพันธุ์ข้าว วิธีกำจัดศัตรูพืช การประกวดงานฝีมือ ของโรงเรียนต่างๆ การแข่งขันกีฬาแทบทุกประเภท การประกวด “นางสาวนครศรีธรรมราช” เป็นต้น


        





วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติ เกาะลังกาวี เจ้าหญิงมสชูรี

ลังกาวี เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวมาเลย์ ก็เพราะตำนานที่เล่าขานกันมา  ถึงเจ้าหญิงชายารัชทายาท ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้วนามว่ามัสซูรี             

           ตามตำนานเล่าว่า พระนางมัสซูรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต ที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อมทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคนให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต พระนางมัสซูรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง
ส่วนพระนางมัตซูรีมีบุตรเป็นชาย ตามกฎของสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสซูรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมา ดังนั้นเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางมัสซูรีมีชู้ ทำให้องค์สุลต่าน ตัดสินประหารชีวิตพระนางด้วยกริช

        โดยที่พระอนุชา สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน ก่อนเสียชีวิตพระนางอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน แต่คมกริชประหารกลับไม่ระคายผิวนางเลย พระนางมัสซูรี จึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา ขณะที่คมกริชจดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่ม โดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย